วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ความจริงที่กระอักกระอ่วน Inconvenient Truth

อ่านรายงานข่าวจากเวียตนามที่ว่า ยอดผู้ป่วยเบาหวานพุ่งขึ้นถึง6% ของจำนวนประชากร และในเมืองใหญ่อย่าง โฮจิมินห์ซิตี้ ยอดผู้ป่วยเบาหวานอาจพุ่งขึ้นถึง10% ของจำนวนประชากร

น่าตกใจ เมื่อนึกถึงภาพ หมอที่นั่นต้องแบกรับผู้ป่วยเรื้อรังเหล่านี้ ยิ่งในเวียตนามมีอัตราการเน่าตายของเท้าและขาอันเนื่องจากเบาหวานที่ลุกลามสูงมากจนต้องตัดเท้า ตัดขาทิ้ง ก็ยิ่งน่าอนาถใจ

หันกลับมาที่เมืองไทย ความขมมีเสียงค่อยและเบา บุคคลากรทางการแพทย์ต้องทำงานหนัก ล้นมือ รับกับสารพัดอาการจากเบาหวาน โรคพ่วงเช่น โรคหัวใจ ความดันสูง อัมพฤกษ์ โรคไต ต้อกระจก แต่ข่าวที่น่าเห็นใจเหล่านี้ มีแต่เสียงเงียบๆในแวดวงหมอและพยาบาล เป็นข่าวก็แค่ประเดี๋ยวประด๋าว สู้ข่าวสีสันของดารา นักแสดงไม่ได้เลย

แต่ความหวาน มีเสียงดัง เฮฮา โรงงานผู้ผลิต ฉลองยอดขาย เปิดแชมเปญ ดันบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ กำไรอู้ฟู่ ความหวานที่เป็นต้นเหตุให้ หมอและพยาบาลต้องทำงานจนปากขม

1)หลายๆประเทศมีกฏควบคุมการขาย Trans Fat แต่เมืองไทย ขายกันเสรี ไม่มีเพดานบังคับทั้ง เนยเทียม ( Margarine) เนยขาว (Shortening )ครีมเทียม ( Non dairy Creamer) น้ำมันพืชผ่านการเติมไฮโดรเจน ( partially hydrogenated vegetable Oils ) แทรกซึมอยู่ในอาหารการกินแทบทุกชนิด โดยเฉพาะเครื่องดื่ม3-in-1ทั้งหลายที่ล้วนผสม ครีมเทียม ( Non dairy Creamer) เกิน 40% ทั้งสิ้น

2) ทั้งๆที่รู้กันดีว่าความหวานเป็นสาเหตุทำให้ตับอ่อนทรุด ทำให้ดื้ออินซูลิน สาธารณสุขก็แจ้งว่าไม่ควรกินน้ำตาลเกินวันละ 6 ช้อนหรือ ประมาณไม่เกินวันละ30 กรัม แต่ไม่มีบทบังคับใดๆควบคุมปริมาณน้ำตาลต่อ Serving ไม่น่าเชื่อว่าจะพบนมเปรี้ยวขวดเล็กๆมีน้ำตาลเกิน25กรัม ชาเขียว ชาขาว กาแฟ บรรจุขวดมีปริมาณน้ำตาลเกิน 35กรัม บางรายอ้างว่าเป็นเครื่องดื่มสุขภาพแต่ 1 ขวดมีปริมาณน้ำตาลเกิน 45กรัม !!!! จินตนาการไม่ออกเลยว่าหากดื่มกันอย่างนี้วันละ2-3 ขวด ไต ตับอ่อน เส้นเลือด จะตกอยู่ในสภาพใด ?

3) แม้มีหลักฐานมากมายจากทั่วโลกว่า ผงชูรส ผงปรุงรสมีปริมาณโซเดี่ยมสูง มีผลร้ายกับไต แต่ก็ขายกันอย่างเสรี ร้านก๋วยเตี๋ยวส่วนใหญ่เดี๋ยวนี้ไม่ต้องต้มน้ำซุปกระดูกกันแล้ว บางร้านบอกว่าเป็นก๋วยเตี๋ยวน้ำใส (จะไม่ใสได้อย่างไรในเมื่อ น้ำซุปหนึ่งหม้อ ท่านเล่นผสมผงชูรสครึ่งถุงลงในน้ำก๊อก ) เข้าทำนอง คนปรุงไม่ได้กิน คนกินไม่ได้ปรุง (ชั่งหัวคนกิน)

4) มีการรณรงค์กันประปราย ไม่ให้ใช้น้ำมันทอดซ้ำ แต่ลองตระเวนตามตลาด จะพบว่าแม่ค้าตามร้านอาหาร แผงลอย เขาล้วนแต่ใช้นำมันพืชเป็นถุง ที่ผ่านการตระเวณรับซื้อน้ำมันทอดซ้ำแล้วเอามาฟอกสีใหม่

5) ขึ้นไปบนดอย ชาวเขาเปลี่ยนอาชีพไม่ปลูกฝิ่น แต่หันมาปลูกผักผลไม้ ส่งมาขายให้ชาวพื้นราบ แต่พบว่า ผักพวกนี้เขารดยาฆ่าแมลงด้วยสปริงเกอร์ !!!! ชาวเขาไม่เคยกินผักที่ปลูกเอง

บรรยายมาบางส่วนนี้ไม่ได้อยากให้หมดอาลัยตายอยาก แต่ต้องเรียนความจริงว่า ข่าวเรื่องมะเร็ง เบาหวาน โรคหัวใจ โรคไต อัมพฤกษ์ ไม่ใช่เคราะห์กรรม ท่านหนีได้ พ้นได้ แต่ต้อง อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ให้มากๆ อย่าไปฝากความหวังและชีวิตไว้ในมือผู้อื่น อย่าไปสรุปสั้นๆว่า “ ก็ มีตรา อ.ย กำกับแล้ว ก็ทานได้สิ” “ ก็ไม่เห็น อ.ย ออกมาห้ามตรงไหนเลย ก็ทานต่อไปเถอะ”

คำว่า “กินได้” กับ “กินดี” นั้นมีความหมายไม่เหมือนกัน
ดูเเแลตัวเอง เท่ากับ ช่วยกระเป๋าตัวเอง เท่ากับ ให้โอกาสหมอ พยาบาล ได้ทำงานอย่างปากไม่ขมบ้างเถอะครับ ไม่อยากเห็นคนไทยตัดขา จนขาด้วนเหมือนในเวียตนาม และอาฟริกา

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

การแสดงความคิดเห็นของบล็อกประเพณีไทย จะมีการตรวจสอบอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้น
ควรใช้คำพูดที่สุภาพและเหมาะสม ก่อนที่จะทำการแสดงความคิดเห็นของท่านสู่ที่สาธารณะ งดคำหลาบ คำว่าร้ายทุกกรณี หรืออื่นๆที่ทีมงานเห็นว่าไม่ดีไม่งาม
ขอลบทันทีโดยไม่บอกกล่าวหรือแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
ขอบคุณครับ

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น